Restaurant Resonance เป็นร้านอาหารใหม่ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานนัก แต่มีอาหารที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจ รสชาติยอดเยี่ยม รวมถึงการบริการที่ดีเยี่ยม จนไม่อาจเพิกเฉยได้ ผมเองก็ต้องบอกว่า ร้านนี้ทำลายทุกสถิติยิงมาเข้าโค้ง Top 10 ของปี 2022 ได้อย่างง่ายดายมาก
หมายเหตุ รีวิวนี้เคยโพสต์ไว้บน Facebook ส่วนตัวผมแล้ว แต่ขอมาลงไว้ตรงนี้อีกครั้งครับ
ความนำ
ถ้าแปลไทย คำว่า Resonance จะแปลว่า “การสั่นพ้อง” หรือถ้าพูดในภาษาฟิสิกส์ คือการที่คลื่นสะท้อนไปมาจนทำให้ความสูงของสันคลื่นสูงขึ้น ผลที่ตามมาคือเสียงที่ดังขึ้นนั่นเอง ซึ่งในทางฟิสิกส์ การสั่นพ้องในลักษณะนี้ถ้าทำไม่ระมัดระวัง จะทำให้วัตถุแตกสลายได้
ถ้าจะต้องกล่าวว่า วันนี้ร้านทำอะไรแตกจากการสั่นพ้อง? คงเป็นคะแนนที่ทำให้เพดานคะแนนที่เคยมีทุกอย่าง แตกทะลุกระจาย ระดับที่ว่าตอนผมเดินกลับจากร้าน ผมคิดว่าที่คะแนน 4.9 จาก 5 (เทียบเท่า 98 เต็ม 100) สำหรับร้านใหม่เอี่ยมเช่นนี้ (อายุประมาณ 1 ปี) เหมาะสมแล้วยิ่งนัก
ร้านนี้เป็นร้านของเขฟ Shunsuke Shimomura ซึ่งถ้าใครคุ้นเคย เชฟผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน รวมถึงประสบการณ์ในอิตาลีและร้านยอดฮิตติดลมบนอย่าง Gaggan Anand ก่อนที่จะตัดสินใจมาเปิดร้าน Restaurant Resonance ในสุขุมวิท 65 ย่านเอกมัย-พระโขนง
แรกเริ่มผมไม่ได้คิดว่าจะมาร้านนี้ครับ เพราะราคาแรงใช้ได้ แต่หลังจากอุปสรรครอบใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตผ่านไป ผมก็คิดว่าต้องไปกินอาหารดีๆ สักมื้อ ประจวบเหมาะกับพี่ที่เคารพท่านหนึ่งไปทานแล้วลงรีวิว กับรุ่นน้องที่รู้จักกันกำลังหาคน ผมเลยตกปากรับคำไป (ตอนตกปากรับคำไปก็งงเหมือนกัน)
ร้านจะมีอาหารชุดเป็น Tasting Menu 12 จาน แบบเดียวเท่านั้น ส่วนราคาก็นับว่าสูงเอาเรื่องที่ 3,900++ (4,590.30 บาทถ้วน แบบไม่รวมน้ำ) แล้วในวันจองก็จะมีการเก็บมัดจำ 2,000 บาทก่อน ที่เหลือจ่ายเอาหน้างาน
อัพเดต (31/08/2565) ร้านจะปรับราคาขึ้นสำหรับซีซั่นหน้าเป็นราคา 4,500++ บาท และเมนูจะมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไปครับ ดังนั้นเมนูจะแตกต่างที่ปรากฎในรีวิวนี้
ที่ตั้งและการต้อนรับ
ร้านเดินทางมาไม่ยากครับ สามารถเดินเท้ามาได้โดยง่ายจากเอกมัยก็ได้ หรือจากพระโขนงก็ตามสะดวกจะสัญจร แต่หากจะยกระดับสักหน่อย การเรียกรถไปร้านก็เป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะอยู่ลึกและต้องอาศัยความคุ้นชินสถานที่อย่างมาก (ผมซึ่งเป็นเด็กสุขุมวิทแต่เกิดค่อนข้างคุ้นชิน เพราะเดินหลงแล้วหลงอีกแต่เด็ก 55555)
เมื่อพอผมเดินเข้ามาตรงร้านเวลา 17:30 น. สิ่งแรกที่เห็นก็ชวนเอ๊ะ เพราะจากตึกและลักษณะ นี่น่าจะเคยเป็นร้านคาราโอเกะญี่ปุ่นเก่าแถวนี้ที่ผมเคยนั่งรถผ่านตั้งแต่สมัยเด็กๆ (ไม่มีหน้าต่างใดๆ เลย – ซึ่งถ้าไปดูตึกลักษณะนี้ยังคงปรากฎอยู่แถวทองหล่อครับ) แต่ก็เข้าใจร้านนะครับ จะทุบแล้วทำใหม่หมดก็คงไม่ไหว เลยต้องปรับมาเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยยังคงสถาปัตยกรรมแบบเดิมอยู่
พลันที่พนักงานเห็น ผมก็ได้รับเชิญให้ไปนั่งรอในร้านก่อน ซึ่งพอผมเปิดประตูเข้าไปแล้วส่องแว้บๆ ผ่านม่าน ก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะสงสัยจนถึงบัดนี้ว่าเคยเป็นร้านคาราโอเกะเก่าหรือไม่ เพราะไล่ตั้งแต่ผนัง เพดาน ไปจนถึงการจัดวางห้องนั้น ช่างคล้ายกับร้านคาราโอเกะแบบญี่ปุ่นในอดีต (หากทางร้านใครจะมีคำตอบให้คลายสงสัยผม ก็จะดีมากครับ 5555)
รอไม่นาน พนักงานก็พาไปนั่งที่โต๊ะ ตอนจองนั้นจองด้วยชื่อน้องอีกท่านหนึ่ง แต่ตอนนั่งเขาเขียนชื่อผมไว้ที่ซองเมนูบนโต๊ะด้วย พร้อมกับซองพิมพ์ใส่โลโก้ร้านให้ใส่หน้ากาก เรียกว่าใส่ใจในรายละเอียดมาก รอบนี้ได้ที่นั่งตรงโถง หน้าห้องทานอาหารส่วนตัวและบันได ซึ่งดีในแง่ความโล่ง แต่ผมซึ่งเป็นคนที่อาจจะตื่นคนนิดๆ ยอมรับว่าแอบมีเครียดเหมือนกันตอนช่วงแรก (จะเครียดไปทำไมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะในที่สุดผมก็ชิน)
หลังจากเอาผ้าเย็นมาวางไว้ บริกรถามว่าอยากได้เครื่องดื่มอะไรหรือไม่ ผมก็ขอเป็นน้ำเปล่าแบบไม่มีฟอง (Still Water) บริกรก็หยิบออกมาเป็น Acqua Panna ขวดยักษ์ แล้วรินลงแก้ว Schott Zwiesel ซึ่งผมก็ปล่อยนิ่งไว้สัก 5 นาที จนผมเอ่ยปากขอเลมอนมาใส่ในน้ำดื่ม บริกรวิ่งไปหยิบมาใส่ให้โดยไม่ชักช้าครับ
รอไม่นาน รุ่นน้องก็มาปรากฎกายแล้วนั่งที่โต๊ะ เลยเริ่มพิธี ซึ่งทางร้านจะมอบหมายบริกรประจำโต๊ะเรามาหนึ่งท่าน โดยจะนำเอาเมนูเสริมที่คราวนี้มีให้เลือกระหว่างอูนิหรือไข่หอยเม่น, แกงกะหรี่เนื้อ มาให้สั่งเพิ่มได้ ผมขอข้ามไปตั้งแต่ต้น ส่วนน้องอีกคนขอสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน
เมนูและรีวิวอาหาร
เมนูของร้านเป็น Tasting Menu 12 คอร์ส/จาน มาเป็นคำๆ ซึ่งสำหรับผมกล่าวก่อนเลยว่าไม่มีจานไหนที่โดดเด่นมากๆ หรือจานที่ชอบเป็นพิเศษ เพราะทุกจานเป็นการเล่าเรื่องที่ต่อกัน ซึ่งถ้าใครจับทางได้ นี่คือการเล่าเรื่องจากทะเลวิ่งขึ้นสู่ที่ราบสูงและภูเขาครับ เรียกว่าเป็นการจับธรรมชาติมาเล่าเรื่องในจานอาหารละกัน (ผมเลยไม่สามารถบอกได้ว่าจานไหนที่ผมชอบมากเป็นพิเศษนั่นเอง เพราะทุกจานเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าทั้งหมด)
เริ่มต้นที่จานแรก Hotaru Ika, Soymilk จานนี้มาเป็นจอกซุป โดยนำเอาปลาหมึกจิ๋วสดๆ และถั่วแระญี่ปุ่น (หรือถั่วอิดามาเมะ) เข้ามาใส่ในน้ำซุปที่มาจากผักและหอยตลับ ก่อนจะใช้โฟมที่ทำจากนมถั่วเหลืองมาปิดท้ายด้านบน รสชาติจานนี้เหรอครับ? ทั้งหวานและเค็มผสมผสานอย่างลงตัว ปลาหมึกก็สดใหม่ อิดามาเมะก็พอดีครับ เรียกว่าสดชื่นมากๆ แต่จุดที่ทำให้ผมแปลกใจคือ Aftertaste ที่อ้อยอิ่งในคอ มันเหมือนรสเค็มๆ ขมๆ จากตัวปลาหมึก (เวลาเรากินปลาหมึกแห้งก็จะประมาณนี้) ที่ค้างเติ่งอยู่ในคอเรานานพอสมควรทีเดียว เป็นหนึ่งใน Aftertaste ใหม่ที่ผมแปลกใจพอสมควรว่าเชฟเลือกจะเอามาอยู่ในจานนี้
พอจบจานนี้ บริกรจะเดินเอาเป็ดมาให้เชยชม โดยเป็นเป็ดที่คัดเลือกมาแล้วว่าไซส์ไม่ใหญ่ และจะเอาไป Dry-Aged 5 วัน ก่อนที่จะทำอาหาร โดยคัดเลือกมาให้ลูกค้าเฉพาะส่วนหน้าอกเท่านั้น (ส่วนที่เหลือบริกรเล่าขำๆ ว่าให้พนักงานกิน เพราะส่วนอื่นๆ มีน้อยมาก แต่ผมนึกอย่างแรกคือ เอาไปทำเมี่ยงเป็ดกินกับผัก)
จานที่สองเป็น Hoy Mara ซึ่งก็คือหอยสังข์มะระนั่นแหละครับ จับเอาไปผ่านกระบวนการกับซอสของทางร้าน (เข้าใจว่าซีอิ้วญี่ปุ่น) แล้วก็กินคู่กับซอสพิเศษของทางร้านอีก (เข้าใจว่าจะมิโซะ – ผมฟังพนักงานไม่ทัน) จานนี้รสชาติคล้ายๆ ซาชิมิญี่ปุ่น เรียกว่าเป็น Purist เลย ผมชอบครับจานนี้ ตัวหอยเองก็มีความหนึบเด้งสู้ฟันอยู่ เคี้ยวสนุก ไม่เหนียวเลยครับ
จานที่สามเป็น Sand Whiting fish, Sesame Leaf, Salted Plum หรือพูดง่ายๆ ก็ปลาเห็ดโคนทอดห่อใบงาครับ เห็นหน้าตาธรรมดาแบบนี้แล้ว ต้องบอกว่าอร่อยมากครับ เชฟเอากระดูกออกจนหมดแล้วก็จับมัดกลับไปก่อนจะห่อแล้วทอด กินกับซอสเค็มที่ทำจากพลัมและใบ Perilla Leaves (ที่หน้าตาเหมือนกับใบชิโซะ เวลาเขาไปรองซูชิ) พร้อมโรยเกลือมาบางๆ รุ่นน้องที่ไปด้วยกันชอบจานนี้มาก ส่วนผมที่กินจานนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกินเทมปุระที่ใช้แป้งอีกแบบแล้วห่อด้วยใบ Perilla ก่อนจะมีพลัมเข้าแทรก นับว่าเป็นการตีความแบบใหม่ที่ให้รสชาติได้เยี่ยมมาก
จานที่สี่ Squid Seaweed เป็นจานที่ทำมาจากปลาหมึกส่วนกลางลำตัว กินกับเส้นโซบะทำเอง และน้ำซอสที่ทำมาจากซุปผสานกับสาหร่าย (ผมฟังไม่ทันอีกตามเคย) จานนี้เป็นจานที่เค็มนำมาก่อน ตามมาด้วยความสดชื่นแบบทะเลครับ เนื้อสัมผัสของปลาหมึกก็สดมากๆ ด้วย อันนี้เรียกว่าดีมากเช่นกัน แต่ก็รู้สึกว่าใกล้เข้าชายฝั่งทุกทีๆ ด้วย เพราะองค์ประกอบแบบพื้นดินเริ่มโผล่มาแล้ว
จานที่ห้า Red Grouper หรือปลากระพงแดง อันนี้เสิร์ฟมาพร้อมกับกุยช่ายขาวด้านล่าง แล้วราดซอสพิเศษของร้าน จานนี้น่าจะพื้นที่สุดแล้ว และไม่น่าจะมีอะไรมากที่สุดแล้ว นอกจากเนื้อปลากระพงแดง (นับว่าเชฟใจถึงมาก) แน่นอนว่าอร่อยอีกเช่นกัน เพราะทำเนื้อปลาออกมาได้สมบูรณ์แบบที่สุด ความเค็มกำลังพอดี สำคัญอยู่ที่กุยช่ายขาวที่ขึ้นมาตัดความคาวและเค็มของปลาได้ดีครับ
จานที่หก ข้าวมันไก่ ครับ ง่ายๆ คือเชฟทำข้าวมันไก่ครับ แต่แทนที่จะทำง่ายๆ ก็ตีความมันซะใหม่ โดยการทำข้าวมันไก่จับยัดใส่ปีกไก่ที่ถอดเอากระดูกออกไปหมดแล้วจับลงทอดจนกรอบ จากนั้นก็ทำซุปข้าวมันเป็น Chicken Consomme และทำน้ำจิ้มโดยผสมจากซอสมิโซะ แปลกแหวกแนวทุกตำรา แล้วก็อร่อยมากทะลุเพดานด้วยเช่นกันครับ แน่นอนว่ารสชาติคือข้าวมันไก่ แต่การนำเสนอคือที่สุดของที่สุด
จานที่เจ็ด คือ Grill Duck, Magao – ยังจำเป็ดคั่นรายการตอนแรกได้ไหมครับ? นั่นแหละครับ เชฟเอาไปย่างไฟจนได้ความสุกที่ระดับชมพูอย่างที่เห็น โรยด้วยพริกไทยภูเขาจากไต้หวัน (เรียกว่า Magao) และมัสตาร์ดจากญี่ปุ่น จานนี้แม้จะดูพื้นๆ แต่มีความลึกในระดับที่สุด พาผมหลุดออกไปอยู่อีกโลกได้ง่ายๆ เนื้อเป็ดนั้นนุ่มมาก ส่วนถ้ากินกับทุกองค์ประกอบแล้วก็ต้องบอกว่า “สมดุล” เกินคาดครับ เค็มนำก่อนสำหรับจานนี้ แต่ก็ยืนแป็ปเดียวก่อนจะเปิดทางให้กับรสอื่นๆ เช่น หวาน เข้ามาแทรก
แต่ขนาดที่ออกมาก็ทำให้ผมงงเพราะออกมาเล็กกว่าที่คาด บริกรบอกว่า ที่ออกมาก็นั่นแหละค่ะเหลือเท่านี้
จานที่แปด Tiger Prawn, Curry Leaf Masala จานนี้มาตอนแรก บริกรจะยกตัว Masala กับหัวหอมที่แปะติดกับช้อนไม้ออกมาก่อน จากนั้นจะตามมาด้วยกุ้งที่ถูกถมด้วยใบกะหรี่และพริกจนมิด ผมซึ่งด่วนจะกินตอนแรกถึงกับงงว่าจะกินยังไง เลยเอ่ยปากถามบริกรว่าต้องกินยังไงนะ? บริกรเฉลยต่อมาว่าจะแยกให้โดยเอากุ้งออกมา ซึ่งก็ทำให้ผมอุ่นใจได้ (นึกว่าคนกินจะโดนแกล้งเสียแล้ว ภาษาวัยรุ่นคือ “โดนแกง”)
วิธีกินคือกุ้งจิ้มมาซาล่าครับ ซึ่งผมก็ขี้รำคาญ เลยกินมาซาล่าจากช้อนแล้วก็งับกุ้งเคี้ยวกันข้างในแทน รสชาติต้องยอมรับว่าดีมาก กุ้งสดมาก ส่วนมาซาล่าทำมาเครื่องก็ดีครับ อาจจะไม่จัดจ้านแบบอินเดียจริงๆ แต่ก็ยังคงความเป็นมาซาล่าได้ดี
จานที่เก้า Lamb Curry จานนี้ถือเป็นไฮไลท์เพราะเป็นการนำเอาซี่โครงแกะออสเตรเลียมาทำแบบสเต็ก Medium-Rare กินคู่กับข้าวแกงกะหรี่แบบอินเดียโดยเนื้อแกะละลายอยู่ในแกงและข้าวญี่ปุ่น พร้อมผักดองที่เป็นตะลิงปลิงมาเป็นเครื่องผสม ซึ่งก็ต้องชมว่าทำทุกอย่างออกมาได้พอดีมากๆ มาครบทุกอย่างที่แกงกะหรี่ดีๆ ควรมี แต่ด้วยความที่วัตถุดิบสดมากๆ ก็ทำให้อาหารที่ธรรมดาๆ กลายเป็นจานที่มีความลึกและปิดท้ายของคาวได้ดีมาก
หมดจานนี้ โต๊ะจะถูก Reset ให้พร้อมกับของหวาน พร้อมกับผ้าเย็นผืนใหม่ และจานที่ 10 ที่เริ่มต้นกับ Mozzarella Ice Cream หรือไอศกรีมมอสซาเรลล่า ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ Extra-Virgin Olive Oil และโรยเกลือมานิดหน่อยด้านบน สารภาพว่าเห็นจานนี้ตอนแรกก็หวั่นประพรึงว่าถ้าไปตรวจสุขภาพจะเป็นอย่างไร เพราะตอนเที่ยงเจอ Ricotta Mousse มาแล้ว มาเจอ Mozzarella Ice Cream ไปอีก ผลก็คือ ต้องบอกว่าชอบมากครับ แม้จะเป็นจาน Transition ที่ยังมีความคาวอยู่ก็ตาม สิ่งที่ผมชอบคือ Extra-virgin Olive Oil นั้นไปกันได้ดีกับ Mozzarella Ice Cream อย่างมาก สององค์ประกอบนี้ส่งเสริมกันโดยไม่มีใครแย่งบทบาทเด่นครับ
จานที่ 11 ถูกเรียกว่า Peach (ฤดูกาลเดิมเป็น Strawberry, Elderflower) ซึ่งจริงๆ เป็นพีชนั่นแหละครับ ด้านบนเป็นครีมที่ปั่นจนแทบจะเป็นโฟม ( เทคนิค espuma) ตรงกลางมีพีชที่ถูกใส่ไว้ โดยฐานทำมาจากแป้งกรอบ จานนี้อร่อยแบบกินขาด เหมือนกินครีมพีชแล้วเจอด้วยสัมผัสกรอบด้านนอกครับ
ปิดท้ายที่จาน 12 (ครบโหลพอดี) R2E2 ซึ่งก็คือชื่อพันธุ์มะม่วงที่เชฟชอบกิน เป็นมูสมะม่วงพร้อมครัมเบิลและเนื้อมะม่วงตามชื่อจานนั่นแหละครับ จานนี้เรียบง่ายแต่อร่อยมากครับ เรียกว่าออกมาปิดท้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จบครบโหลก็จะมีขนมปังสวยๆ เป็นขนมปัง Foccasia ใส่กล่องสวยงามให้หิ้วใส่ถุงกลับบ้านได้ บริกรบอกอุ่นแล้วไว้กินกับกาแฟก็ดี เป็นอันจบเสร็จสิ้นพิธีการ
บทสรุปและความเห็นปิดท้าย
ผมยันยืนยันว่า ครบโหลแล้วจะให้ผมเลือกหยิบจานที่ชอบออกมานั้นคงเป็นไปได้ยากมากๆ เพราะแต่ละจานนั้นสอดคล้องแล้วเล่าเรื่องที่สอดรับกัน ดังนั้นถ้าถามผมว่าจานไหนชอบเป็นพิเศษในเชิงรสชาติก็คงจะไม่มีครับ (ยืนยันว่าต้องไปเป็นแผง) แต่ถ้าถามว่าจานไหนที่ชอบการนำเสนอที่สุดเห็นจะเป็นข้าวมันไก่นั่นแหละครับผม
แน่นอนว่า Restaurant Resonance ไม่ใช่ร้านที่ผมจะมาได้บ่อย แต่ก็เป็นร้านที่น่าจับตามากๆ รุ่นน้องที่ไปด้วยกันบอกว่านี่คือที่สุดของร้านประจำปีนี้ของเขาแล้ว ส่วนผมเองก็ต้องบอกว่า ร้านนี้ทำลายทุกสถิติยิงมาเข้าโค้ง Top 10 ได้อย่างง่ายดายมากครับ
บริกรเองก็เอาใจใส่กับการบริการมาก เรียกว่าพร้อมบริการอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกันครับ ครบทุกอย่างเท่าที่จะคาดหวังได้กับร้านไซส์ที่มีโต๊ะให้นั่งถ้ากวาดด้วยสายตาแล้วไม่น่าจะเกิน 10 โต๊ะครับ
ตอนกลับ เชฟจะคุยกับเราและยืนรอส่งเราจนกว่าเราจะไปพ้นลับสายตา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่นมากๆ ด้วยครับ นับว่าเก็บทุกความประทับใจเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ
ผมไม่กล้าฟันธงว่าร้านจะได้ดาวมิชลินหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมมั่นใจคือนับจากนี้ร้านน่าจะคิวยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ และผมก็จะเก็บร้านนี้ไว้เป็นร้านพิเศษอีกร้านที่ต้องมาถ้ามีโอกาสอันสำคัญจริงๆ ครับ
คะแนน: 4.9 จาก 5 (ปรับคะแนนด้วยสเกลเปอร์เซ็นต์ คือ 98 จาก 100)
ทางไปจองและข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/resonance.bkk