Friday, 11 October 2024
Homeเรื่องแบ่งปันMaison Bleue คาเฟ่ฝรั่งเศสกลางสุขุมวิท ที่ของคาวเด่นไม่เท่าหวาน

Maison Bleue คาเฟ่ฝรั่งเศสกลางสุขุมวิท ที่ของคาวเด่นไม่เท่าหวาน

หากเอ่ยชื่อ Maison Bleue (แปลเป็นไทยก็บ้านสีน้ำเงิน) หลายคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักหรือไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกว่าร้านนี้มีเจ้าของเดียวกันกับร้านเค้กอันโด่งดัง (ทั้งรสชาติและราคาที่แรงมาก) อันมีนามว่า “Let them Eat Cake” ของคุณมูมู่ จักรทอง อุบลสูตรวานิช ก็อาจจะถึงบางอ้อกัน เพราะร้านนี้ก็เป็นของคุณมูมู่นั่นเอง หลังจากที่หายไปจากฉากทัศน์ (เอ หรือจะเรียกว่าเวทีดี) ของวงการอาหารกรุงเทพได้ประมาณ 5 ปี

การกลับมาครั้งนี้ จึงมีความหมายมากๆ เพราะต้องไม่ใช่แค่ Let them eat cake หรือเอาหวานละมุนของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นร้านของครอบครัว กลับมาเปิดในกรุงเทพ แต่จะต้องสร้างสรรค์อะไรที่แปลกและแตกต่าง

ผมเคยได้ยินชื่อร้านนี้มาบ้างในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่ถูกจดจำอยู่ในหัวคือ เป็นร้านที่อยู่ใกล้บ้านมาก (อีกร้านที่ใกล้บ้านคือ Chim By Siam Wisdom) และมีสไตล์เป็นภาพร้านคาเฟ่ที่ทุกคนน่าจะชื่นชอบ (เพราะถ่ายลงสื่อสังคมออนไลน์แล้วสวย) แต่ก็ยังไม่ไป จนกระทั่งเห็นร้านในคู่มือแนะนำการกินสำหรับลูกค้ากลุ่มธนบดีธนกิจ (Wealth Banking) ของธนาคารแถบสะพานควายแห่งหนึ่งแนะนำ (ธนาคารนี้มีสลาก) ในเล่มที่ส่งให้ลูกค้าถึงบ้าน ซึ่งก็ประจวบเหมาะกับที่รุ่นน้องท่านหนึ่ง อยากไปพอดี ทุกอย่างจึงลงตัว

ประสบการณ์เก่าของ Let them eat cake นั้น ต้องบอกว่าผมยังจดจำเค้กชิ้นละ 220++ บาท ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในเวลานั้นน่าจะเป็นร้านเค้กไม่กี่แห่งที่ตั้งราคาได้แรงพอๆ กับร้านตามโรงแรมครับ แต่รสชาติและความอร่อยนั้นก็ถือว่าสมค่าตัวเช่นกัน

แต่ร้านใหม่จะทำได้หรือไม่? นี่เป็นคำถามตัวโตๆ เพราะ 5-6 ปีที่หายไปนั้น บรรยากาศร้านอาหารในกรุงเทพนั้นเปลี่ยนไปอย่างมาก และแข่งขันกันสูงมาก ชนิดที่เรียกว่าผมก็ยังปาดเหงื่อ


แนวคิดของร้านนี้น่าจะสะท้อนชัดเจนที่สุดจากป้ายซอยทางเข้าร้านที่เขียนว่า From Pillow to Pillow คือเป็นร้านอาหาร (เอ หรือคาเฟ่ดี?) ที่เปิดทั้งวัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จรดยัน 5 ทุ่ม ไม่มีวันหยุด เปิดตั้งแต่ Breakfast ไปจบที่ Supper ซึ่งก็นับว่ากินเวลายาวนานครับ

ผมพิจารณาแล้ว ตัดสินใจโทรไปจอง แต่ด้วยความอยากลองบริการของบัตรเครดิตธนาคารที่ส่งเล่มแนะนำนั้นมา เลยขอทดลองใช้บริการ “เลขาส่วนตัว” เพื่อจองร้านอาหาร – ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ปลายสายงุนงง ก่อนจะพักสายแล้วไปหาคำตอบให้ประมาณ 3 นาที แล้วตอบกลับมาว่า “บัตรของเราไม่มีให้บริการเลขาส่วนตัวสำหรับจองร้านอาหารครับ” ซึ่งผมก็มีคำถามมากมายในหัว แต่มิได้เอ่ยปากอะไรออกไป

บทสรุปของการจองร้านอาหารในครั้งนี้ คือ ผมใช้บริการของบัตรเครดิตอีกธนาคารหนึ่ง (เขาบอกว่าเป็นบัตรระดับ “ผู้นำ”) ซึ่งจัดการทุกอย่างจบภายใน 3 นาที และหลังจองได้ก็โทรมาพร้อมส่งอีเมลมายืนยันสมทบแบบเสร็จเรียบร้อย


Maison Bleue
บรรยากาศภายในร้าน

ในเชิงกายภาพ ร้านตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งน่าจะเคยเป็นบ้านคนมาก่อน แต่มีการเติมอาคารและเปลี่ยนพื้นที่พอสมควร แต่ยังเค้าเดิมของบ้านเอาไว้บางส่วน ซึ่งหลังจากเปิดประตูเข้าไป หากต้องการไปร้านก็จะต้องตรงไปด้านขวามือ ส่วนด้านซ้ายจะเป็นร้าน Karma Karmet ที่ตั้งอยู่ในชายคาเดียวกัน (กินเสร็จก็ช้อปปิ้งเครื่องหอมได้เลยถ้าท่านต้องการ)

ตัวร้านตั้งอยู่ด้านหลังของเอ็มโพเรียม ซึ่งวิธีการถ้าจะไปง่ายที่สุด คือจอดรถที่เอ็มโพเรียม แล้วก็เดินเอาครับ ซึ่งถ้าจะเดินดีที่สุด คือเลียบธนาคารกรุงเทพ สาขาเอ็มโพเรียม แล้วไปทาง Emporium Tower ผ่านด้านหน้า ทางเข้าโรงแรม Emporia Suites ไป (ไม่ต้องวกเลยนะครับ เดินไปได้เลย) แล้วผ่านอาคารจอดรถด้านหลังของเอ็มโพเรียมไปครับ แล้วจะมีซอยเล็กๆ ก็เลี้ยวเข้าไป ซึ่งจะต้องเจอกับคอนโด Villa 24 เล็กๆ เสียก่อน จากนั้นก็จะเป็นร้านครับ

สารภาพว่า ถ้าไม่เชี่ยวชาญทางนี้จริงๆ ก็จะหลงง่ายๆ เอาเป็นว่าหาทางออกของตึก Emporium Tower หรือธนาคารกรุงเทพ สาขาเอ็มโพเรียม เจอ ก็จะไปร้านได้ไม่ยากครับ


ทันทีที่เปิดประตูร้าน ผมเจอคนที่น่าจะเป็นคุณมูมู่นั่งคุยงานอยู่ พร้อมกับลูกน้องอีกท่าน ก่อนที่ลูกน้องจะเห็นผมรอที่ตรงบริเวณด้านหน้าแบบงงๆ เงอะงะ จึงเดินเข้ามาถาม ก่อนจะบอกว่าได้สำรองที่นั่งแล้ว ซึ่งก็บอกขอไปเช็คชื่อสักครู่ จากนั้นจึงพาผมเดินเข้าไป โดยได้ที่นั่งที่ไม่ห่างจากเคาน์เตอร์ และอยู่ตรงทางเดินเข้าร้านครับ

เมื่อผมได้ที่นั่ง (ระหว่างกำลังรออีกท่านเดินทางมา) พนักงานนำเอาเมนูที่มีขนาดใหญ่พอจะปิดสัก 1/4 ของตัวผมได้มาให้ 2 แผ่น และแผ่นเล็กอีก 1 แผ่น ซึ่งแผ่นแรกเป็นเมนูของร้าน แผ่นสองเป็นเมนูของไวน์ และแผ่นสุดท้ายขนาดเล็กเป็นเมนูของ cocktail พร้อมแนะนำให้ผมสแกน QR Code เพื่อที่จะได้ดูหน้าตาของแต่ละจานครับ

บรรยากาศของร้านวันนี้ต้องบอกว่าเงียบสงบ มีไม่กี่โต๊ะ ซึ่งก็เงียบสงบดีครับ ผมก็พยายามมองการตกแต่งของร้านไปทั่วๆ ก็ให้ความรู้สึกว่าการตกแต่งนั้นไปในแนวกลิ่นอายแบบ Post-modern พอสมควร

สำหรับโต๊ะนั้น มีจานและกระดาษบางๆ (Napkin) ซึ่งจะวางเครื่องใช้ไว้ด้วย (มีช้อน ส้อม และมีด) ซึ่งถึงจุดนี้ผมจึงรู้สึกว่าร้านนี้มีความเป็นคาเฟ่มากๆ และผมซึ่งเก้ๆ กังๆ หลังจากเอากระดาษผืนใหญ่ที่เป็นกระดาษเช็ดปากไปรองตรงตักแล้ว จึงต้องร้องขอกระดาษเพิ่ม เพื่อเอาไว้วางช้อนและส้อมบนโต๊ะครับ

พนักงานไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย นอกจากปล่อยผมดูเมนูรออีกท่าน จนผมสงสัยว่าทำไมถึงปล่อยผมนานขนาดนี้ ผมจึงตัดสินใจสั่ง Minere (30++ บาท) มาหนึ่งขวดพร้อมน้ำแข็ง เพื่อให้หายเก้อ พร้อมกับสอบถามโปรโมชั่นของธนาคารแถบสะพานควายแห่งนั้นที่มีกับห้องอาหารนี้ (ซึ่งตามหนังสือ ถ้าสั่งอาหารจานหลัก ผมจะได้ของแถม)

คำตอบที่ผมได้รับจากพนักงาน ทำเอาผมงงเล็กน้อย เพราะตอบว่า “ไม่มีโปรโมชั่นกับใครเลยนะคะ” ซึ่งผมก็ให้ดูรูปภาพจากหนังสือว่า เขาลงแบบนี้จริงๆ (หน้าที่ 49 เผื่อท่านใดจะมี) ผมจึงพอจะเดาสถานการณ์อะไรบางอย่างออก เลยให้เขาถ่ายรูปไปและเอาไปปรึกษากันว่าเป็นอย่างไรกันแน่

ไม่นานหลังจากนั้น รุ่นน้องผมก็มา ผมจึงสบโอกาสสอบถามพนักงานอีกครั้ง ทางร้านแจ้งยืนยันอีกครั้งว่าไม่มี เลยรอให้รุ่นน้องเลือกเมนูให้เสร็จ จากนั้นผมจึงทำการโทรศัพท์เข้าศูนย์ให้บริการของธนาคารนั้น ซึ่งรับปากว่าจะตามเรื่องให้ภายใน 15 นาที ก่อนที่จะโทรกลับมาโดยบอกผมภายหลังว่า ขอรับเรื่องไว้ก่อน เพราะผู้เกี่ยวข้องกลับบ้านไปหมดแล้ว


เอาล่ะ ไม่เป็นไร เข้าเรื่องของอาหารดีกว่าครับ โดยครั้งนี้เราสั่งมาสุทธิ 5 จาน เป็นของคาวไปเสีย 4 (แยกเป็นอาหารจานเรียกน้ำย่อย 2 จานหลัก 2) และปิดท้ายที่ของหวาน 1 อย่างครับ ทั้งหมดเราขอ Request ว่าเราจะแบ่งกันครับ

ก่อนที่จะไปถึงอาหาร ก็ต้องเล่าว่ามีประมาณ 2-3 จุดที่ผมไม่ค่อยจะแฮปปี้นัก เรื่องแรกคือร้านปล่อยอาหารออกมาแทบจะพร้อมๆ กันหมด เริ่มต้นด้วยสองจานย่อย จากนั้นไม่นานก็ตามมาด้วยสองจานหลัก จนอาหารเต็มโต๊ะ ซึ่งแม้จะเร็วแต่ทำให้การกินเหมือนจะถูกเร่งไปโดยปริยาย และผมก็สับสนด้วยว่าจะจัดการอย่างไรครับ

เรื่องถัดมาคือ พนักงานไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมในแต่ละจาน นอกจากพูดสั้นๆ แล้วก็ไป หรือให้คำแนะนำสั้นๆ ว่าควรจะกินยังไง ซึ่งผมก็ค่อนข้างงงในตอนแรก แต่เมื่อคิดๆ ดีแล้ว ก็ถึงบางอ้อว่า Maison Bleue นั้นเป็นร้านอาหารแนวคาเฟ่ ผมจึงไม่งงต่อและก้มหน้าก้มตากินครับ

และเรื่องสุดท้ายคือ ผมตักซุปที่เป็นหนึ่งในอาหารเรียกน้ำย่อย โดยหลังจากนั้นค่อยๆ ใช้ช้อนตักเอาจากจานอีกทีหนึ่งแบบเสียอาการพอดู ซึ่งอันนี้ทางร้านแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยการมีถ้วยแบ่งขนาดเล็กสำหรับคนที่ต้องการแบ่งกันทานครับ แต่เหมือนจะไม่มีตัวเลือกนี้ นอกจากเมื่อเห็นน้ำซุปในจานเจิ่งนองแล้ว สิ่งที่พนักงานร้านเสนอคือการเปลี่ยนจานครับ


เราเริ่มต้นกันที่จานแรก “Mademoiselle’s Pomelo Tart” หรือ “ทาร์ตยำส้มโอของมัดมัวแซล” (365++ บาท) ที่เป็นยำส้มโอจับใส่ทาร์ต และมีครีมสดโปะมาด้านบน พร้อมกับคางกุ้งและผักชีด้านบน โรยด้วยไข่ปลาแซลมอน และมีสลัดกับไข่นกกระทาแนบมาด้านข้างจาน

Mademoiselle’s Pomelo Tart – ทาร์ตยำส้มโอของมัดมัวแซล

จานนี้เวลากินแยกส่วนแล้วไม่ค่อยเวิร์ค ต้องกินพร้อมกันหมด แง่บวกก็คงเป็นเรื่องของการรักษาความกรอบและเค็ม รวมถึงความมันเอาไว้ได้อย่างครบถ้วนในยำส้มโอ อย่างไรก็ตามมันออกดูจะเป็น Grapefruit Salad เสียมากกว่า เพราะผมไม่สามารถสัมผัสความหวาน เผ็ด หรือความเค็มของน้ำปลาได้แบบชัดๆ แบบที่ยำส้มโอควรจะเป็นครับ

Mademoiselle’s Pomelo Tart – ทาร์ตยำส้มโอของมัดมัวแซล

ถ้าจะมีคำแนะนำก็คงเป็นว่า ตัดครีมกับไข่ปลาแซลมอนออก แล้วเพิ่มความ “ชัด” ของยำส้มโอเข้าไป แค่นี้จานนี้ก็อร่อยแล้วครับ


ระหว่างกำลังทานจานแรก จานที่สองซึ่งก็คือ “Lobster Bisque” หรือ “ซุปข้นกุ้งเสิร์ฟกับแป้งพายชั้นแบบรีดกลับ” (340++ บาท) ก็ถูกนำมาวางไว้อย่างรวดเร็ว ตัวซุปถูกเทลงไป (ซึ่งผมกำลังจะห้าม เพราะกินไม่ทัน แต่ก็ไม่ทันความไวของพนักงาน) พร้อมคำแนะนำว่าให้คนครีมกินไปกับตัวซุปด้วย แล้วพนักงานก็จากไปครับ

Lobster Bisque – ซุปข้นกุ้งเสิร์ฟกับแป้งพายชั้นแบบรีดกลับ

จานนี้ให้ความเค็มแบบ Lobster Bisque ที่ควรจะเป็น (คือจะรู้สึกว่าหนักเค็ม) ได้ครบถ้วนอยู่ เมื่อผนวกเข้ากับแป้งพายอบนั้น ก็นับว่าเป็นองค์ประกอบที่ดีอยู่ ทำให้ตัว Bisque นั้นมีความซับซ้อนขึ้น และมีความครีมที่ชัดขึ้นด้วย


ระหว่างที่ผมกับรุ่นน้องกำลังผจญภัยในสองจานแรก จานที่สามซึ่งเป็นจานหลัก “Les Moules Frites” หรือ “หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวเสิร์ฟพร้อมเฟรนซ์ฟรายส์” (520++ บาท) ก็ถูกนำมาวางไว้

Les Moules Frites – หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวเสิร์ฟพร้อมเฟรนซ์ฟรายส์

จานนี้เฟรนซ์ฟรายอร่อยครับ และหอยก็ทำมากำลังพอดี ความเค็มและหวานของรสชาติตัวน้ำที่ต้มหอยก็กำลังดี อย่างไรก็ตามสำหรับผมคิดว่าตัวซอสไวน์ขาวนั้นบางไปนิด ทำให้เวลาราดลงตัวหอยแล้วแทนที่จะมีเกาะๆ บ้าง กลับลงไปกองที่จานเกือบหมดแทน ครั้นจะใช้ช้อนไปตักน้ำซอสเข้าปากก็แลดูจะเสียอาการ จึงได้แต่ปล่อยไป (แม้จะแอบทำอยู่ครั้งสองครั้งก็ตาม 555)

Les Moules Frites – หอยแมลงภู่อบซอสไวน์ขาวเสิร์ฟพร้อมเฟรนซ์ฟรายส์

ระหว่างกำลังจัดการทั้งสามจาน จานสุดท้ายคือ “Ispahan Duck Breast” หรือ “อกเป็ดอีสปาอ็อง” (540++ บาท) ก็ถูกมาวางไว้ จานนี้น่าจะเป็นจานที่มีองค์ประกอบมากที่สุด เพราะมีทั้งลิ้นจี่ย่าง ราสเบอร์รี่ (ที่ทำเป็นซอสด้วย) เป็ด และมันฝรั่งมาเสิร์ฟด้วยกัน

Ispahan Duck Breast – อกเป็ดอีสปาอ็อง

จานนี้น่าจะดีที่สุดในฝั่งของคาว รสชาติออกมากำลังดี มีทั้งความหวานความเปรี้ยวตัดกับความคาวได้อย่างดี รวมถึงมีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตจากมันฝรั่งที่พอดี ไม่มีอะไรที่กระโดดหรือทำให้ด้อยลง จานนี้อร่อยทีเดียวเลยแหละครับ


Mille-Feuille Heritage – มิลเฟยน้ำตาลมะพร้าวอัมพวา

หมดจานนี้ โต๊ะถูก Reset แล้วเราก็ตัดสินใจรับของหวาน นั่นก็คือ “Mille-Feuille Heritage” หรือ “มิลเฟยน้ำตาลมะพร้าวอัมพวา” (365++ บาท) ซึ่งที่นี่เลือกเสิร์ฟมิลเฟยในแบบ “ตะแคงข้าง” (ไม่ใช่แบบแนวนอนโดยตรง) ทำให้การตัดแป้งนั้นทำได้ยากพอสมควรครับ

Mille-Feuille Heritage – มิลเฟยน้ำตาลมะพร้าวอัมพวา

จานนี้ต้องบอกว่าเชฟใจกล้ามาก เพราะแป้งที่กรอบมากๆ นั้นมีรสชาติของความมันเนย ความเค็ม และความขมเล็กน้อยอยู่ แต่เมื่อจับกับครีมน้ำตาลมะพร้าวที่หวานโดดแล้ว ต้องบอกว่าออกมาลงตัวพอดิบพอดีครับ จานนี้อาจจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในค่ำคืนนี้เลยทีเดียวครับ

Mille-Feuille Heritage – มิลเฟยน้ำตาลมะพร้าวอัมพวา

หมดจากนี้จึงขอเช็คบิล สุทธิออกมาได้ที่ 2,613 บาท (รวมภาษีและค่าบริการแล้ว) หารออกมาตกอยู่ที่ท่านละ 1,306.50 บาท ครับ โดยนอกจากอาหารแล้ว ยังมีน้ำเปล่า Minere ขวดเล็กอีก 3 ขวด รวมอยู่ในนั้นด้วย (แน่นอนว่าผมจ่ายด้วยบัตรผู้นำของอีกธนาคารครับ ส่วนบัตรของธนาคารนั้นสำหรับลูกค้าธนบดีธนกิจนั้น เราควรปล่อยให้มันนอนนิ่งๆ ต่อไปครับ)


แม้ผมจะไม่สงสัยในฝีมือของคุณมูมู่และทีมงานสำหรับในเรื่องของหวาน (ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจากจานมิลเฟยที่ดีมากๆ) แต่ในเรื่องของคาวนั้นยังมีพื้นที่อีกมากในการค่อยๆ ทำให้อาหารนั้นโดดเด่นขึ้น เพราะดูเหมือนว่าของคาวบางอย่างนั้นยังทำได้ไม่ค่อยจะสุดนัก แม้จะให้ปริมาณต่อจานมาเยอะพอดู

อีกจุดที่คงต้องกล่าวคือ การบริการของพนักงานนั้นเป็นในลักษณะของคาเฟ่ ซึ่งแม้จะไม่สามารถคาดหวังแบบ Fine Dining หรืออาหารหรูๆ ที่บริการจะต้องเป๊ะได้ แต่ผมคิดว่ายังมีอะไรหลายอย่างที่พัฒนาดีขึ้นได้อีกครับ เพื่อให้คนที่มาเขารู้สึกว่า แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ใส่ใจครับ

นอกจากนั้นแล้วการวางตำแหน่งของร้านเป็นร้านแบบคาเฟ่ แต่นำเสนอหน้าตาและให้ราคาต่อจานมาไม่ต่างจากร้านอาหารแบบ Fine Dining นั้น ทำเอาผมอยู่ในสถานการณ์ลังเลใจว่า จริงๆ แล้วผมควรจะกลับมาดีไหม เพราะว่ากันตามตรงคือ หากเพิ่มเงินอีกไม่กี่ร้อยบาทต่อคน ผมจะสามารถไปกินชุดอาหารมื้อเที่ยงฝรั่งเศสได้ที่ภัตตาคารหนึ่งดาวแถวสาทรได้เลย (แถมร้านดังกล่าวก็บริการลูกค้าระดับถึงใจด้วย)

ในฟากของหวานเอง หากร้านไม่ได้มีของหวานเป็นเอกลักษณ์แล้ว ต้องยอมรับว่าของหวานนั้นอยู่ในระดับราคาที่แพง ซึ่งถ้าเทียบกับร้านของหวานจากโรงแรมเก่าแก่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งแล้ว ราคาของโรงแรมเก่าแก่นั้นย่อมเยากว่าแน่นอนครับ

ผมคิดว่าบทสรุปที่น่าจะชัดเจนที่สุดสำหรับ Maison Bleue คือ ถ้าเป็นของหวานผมอาจจะยอมกัดฟันมากินเค้กกับน้ำชาด้วย อาจจะปีละครั้งได้อยู่ เพราะคิดว่าคุ้มค่าในการจะแวะมาเพื่อของหวาน แต่ถ้าเป็นของคาวแล้ว ผมคิดว่ายังมีร้านอื่นๆ ที่เมื่อเทียบเป็นคู่เทียบ (หรือคู่แข่ง) ของร้านแล้ว ยังชนะอยู่ครับ


คะแนน: 3.6 จาก 5 (ปรับคะแนนด้วยสเกลเปอร์เซ็นต์คือ 72 จาก 100)

ทางไปจองและข้อมูลเพิ่มเติม: https://www.facebook.com/Maisonbleuelecafe

CONCLUSION

Maison Bleue
72 %

SUMMARY

Maison Bleue เป็นอีกหนึ่งร้านคาเฟ่ที่กำลังมาแรง ด้วยการตกแต่งร้านที่ไม่เหมือนใคร และฝีมือของหวานที่โดดเด่น สำหรับอาหารนั้นของหวานดีกว่าของคาว ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลือกคู่แข่งที่เป็นร้านอื่นๆ ในราคาใกล้เคียงกันแล้ว Maison Bleue อาจจะเสียบเปรียบเมื่อเทียบกับร้านอื่น

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

- Advertisment -
Maison Bleue เป็นอีกหนึ่งร้านคาเฟ่ที่กำลังมาแรง ด้วยการตกแต่งร้านที่ไม่เหมือนใคร และฝีมือของหวานที่โดดเด่น สำหรับอาหารนั้นของหวานดีกว่าของคาว ซึ่งเมื่อเทียบกับตัวเลือกคู่แข่งที่เป็นร้านอื่นๆ ในราคาใกล้เคียงกันแล้ว Maison Bleue อาจจะเสียบเปรียบเมื่อเทียบกับร้านอื่นMaison Bleue คาเฟ่ฝรั่งเศสกลางสุขุมวิท ที่ของคาวเด่นไม่เท่าหวาน