Friday, 6 December 2024

J’AIME by Jean-Michel Lorain – ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยคุณภาพ

“สวัสดีค่ะคุณภัทรนันท์ ติดต่อจากแฌม นะคะ พี่อรเอง สบายดีไหมคะ” ผมรับสายระหว่างที่กำลังเดินงานหนังสือ และยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจที่จำผมได้จากเพียงชื่อ แต่เสียงที่ได้ยินคือเสียงที่คุ้นเคย นั่นก็คือ คุณอร ที่เป็นผู้จัดการของร้าน J’AIME by Jean-Michel Lorain นั่นเอง

เป็นปกติของร้านนี้ที่จะต้องโทรมายืนยัน แต่วันที่ยืนยันนั้นเป็นวันเดิมก่อนผมจะเลื่อนไปอีกวัน เมื่อสอบถามแล้วเหมือนระบบไม่อัพเดต ผมเลยเลือกที่จะกลับไปวันเดิมที่ร้านโทรมายืนยัน (เพราะตอนแรกสุด ตารางยังมีความไม่ลงตัวอยู่เล็กน้อย) โดยคุณอรแจ้งผมว่ารอบนี้อาจจะไม่ค่อยเป็นส่วนตัวสักนิด เพราะแขกแน่นเต็มห้องอาหาร

“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่อรจัดให้นั่งที่เดิม เชื่อว่าชอบและยังเป็นไพรเวทเหมือนเดิม”

สิ้นเสียงนี้ผมยิ้ม และยืนยันว่าจะไปในตอนเย็นของวันนั้นแน่นอน โดยคราวนี้ไปด้วยดีลจากเว็บรีวิวอาหารแห่งหนึ่งครับ


ป้ายหน้าโรงแรม

สำหรับห้องอาหาร J’aime by Jean-Michel Lorain เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่เปิดมาพร้อมกับโรงแรม U Sathorn Bangkok ตอนปี 2014 (หรือ 2557) ซึ่งเป็นโรงแรมที่สงบและเป็นส่วนตัวมากๆ อยู่ลึกในซอยงามดูพลีที่เชื่อมต่อออกไปยังทางเย็นอากาศ ซึ่งเป็นร้านฝรั่งเศสที่มีราคาดีและไม่แพงแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเป็นห้องอาหารชุดแรกที่ได้ดาวมิชลิน (ชุดเดียวกับ Chim By Siam Wisdom) ซึ่งได้มา 1 ดาวถ้วน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และทีมเชฟกับเจ้าหน้าที่ ก็แทบจะเป็นชุดเดิมมาโดยตลอด

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือราคาครับ ห้องอาหารไม่ได้ปรับราคาขึ้นไปบ่อยนัก และเมื่อเทียบกับมิชลิน 1 ดาว ในประเภทใกล้เคียงกันแล้ว นี่คือร้านที่ปรับราคาขึ้นมาช้าสุดแล้ว ยกเว้นช่วงหลังที่เงินเฟ้อขึ้นหนัก ราคาเลยจำต้องปรับตาม แต่เมื่อเทียบแล้วก็ยังถูกกว่ามิชลินหลายเจ้าอยู่ดี

ร้านนี้มาจากการที่ Jean-Michel Lorain เชฟมิชลินสามดาวจากห้องอาหาร Côte Saint Jacques ขยายกิจการมาเปิดที่นี่ และถึงขั้นส่งลูกสาว Marine Lorain มาคุมกิจการตั้งแต่ 2014 จนเพิ่งลาออกไปทำกิจการตัวเองเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ส่วนหัวหน้าทีมเชฟคือ Amerigo Sesti ที่ถูกฝึกในครัวจาก Côte Saint Jacques มาคุมกิจการด้วยตนเอง โดยปัจจุบันมี Yoan Martin เป็นรองหัวหน้าเชฟ

แม้จะเป็นอาหารฝรั่งเศสก็จริง แต่ถ้าไปดูไส้ในแล้ว จะพบว่าวัตถุดิบที่ถูกดึงขึ้นมาใช้นั้นเป็นของในท้องถิ่นเยอะมาก เช่น ชีสจากเชียงใหม่ เป็นต้น ดังนั้นแล้วใครที่ชอบความเป็นท้องถิ่น และอยากกินอาหารฝรั่งเศส ผมว่าที่นี่ตอบโจทย์ตรงๆ แน่นอนครับ


ด้านหน้าโรงแรม U Sathorn Bangkok

ตัวโรงแรม U Sathorn Bangkok นั้นอยู่ค่อนข้างลึกจากปากซอยงามดูพลี สงบและให้บรรยากาศเหมือนรีสอร์ต มากกว่าจะเป็นโรงแรมทั่วไป ถ้าไม่ได้เป็นคนชอบเดินเท่าไหร่ผมคิดว่าอาจจะมีเหนื่อยได้ ถ้ามาคนเดียวก็ให้เรียกมอเตอร์ไซค์ปากซอยมา เสียค่าเรียกประมาณ 20 บาท เห็นจะได้ แต่ถ้าเป็นคนเดินหรือมาทางรถ จากพระราม 4 เลี้ยวเข้าซอยงามดูพลี แล้วยิงยาวจนถึงสามแยกก่อนจะเจอบ้านพักข้าราชการทหารเรือ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอย เป็นอันเสร็จสิ้น ผมซึ่งถนัดเดิน (และวันนัดก็อยู่แถวนั้นพอดี) เลยเดินเข้าไปแบบสบายๆ

แม้เวลานัดจะเป็น 18.00 น. แต่ผมเดินทางมาถึงห้องอาหารเร็วกว่าที่คาดไปประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งปกติแล้วผมมักจะรอด้านล่าง แต่ด้วยความที่ไปคนเดียว ผมเลยไปรออยู่ด้านหน้าห้องอาหารที่อยู่ชั้น 2 (ถ้าเดินจากล็อบบี้ ทางขึ้นจะอยู่ขวามือ) ฟังเพลงไปเรื่อย ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่เชื้อเชิญให้ไปนั่งรอด้านใน (รวมถึงผู้จัดการท่านใหม่ด้วย) แต่ผมก็ยังขอนั่งด้านนอก จนกระทั่งเจอคุณอรเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งนี่แหละครับ เลยยากจะปฏิเสธ จึงเข้าไปรอและดูบรรยากาศทั่วไปของห้องอาหารที่คุ้นเคยนี้เสียก่อน ในยามที่พระอาทิตย์กำลังค่อยๆ คล้อยตกไปในช่วงพลบค่ำ

ทางเข้าห้องอาหาร J'AIME by Jean-Michel Lorain
ทางเข้าห้องอาหาร J’AIME by Jean-Michel Lorain

การตกแต่งภายในร้าน
บรรยากาศภายใน
หมากรุกกลับหัว

สำหรับการตกแต่งของห้องอาหารที่นี่ เป็นสไตล์แบบเรียบหรู และมีความขี้เล่นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเปียโนคว่ำที่ติดเพดาน หรือในส่วนบันไดทางขึ้นก็มีหมากรุกอยู่บนเพดานหงายหัวขึ้นก่อน เมื่อเดินเข้าด้านในจะเป็นโถงโล่งๆ และมีโต๊ะจำนวนหนึ่ง ซึ่งที่นั่งประจำผมเป็นโซฟาขนาดใหญ่ราวกับที่นั่งชั้นหนึ่งของสายการบินต่างๆ แต่ของผมจะหันหน้าชนกับชั้นหนังสือที่มีหนังสืออาหารอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากพอสมควร

ชุดอุปกรณ์มาตรฐานที่โต๊ะ
มุมจากโต๊ะอาหาร

พอเข้าไปนั่งที่ เมนูของดีลที่ผมแจ้งไว้ก็ถูกเอามาวาง จากนั้นก็เป็นเครื่องดื่ม ซึ่งผมขอรับน้ำเปล่าขวดละ 50++ บาทเหมือนเดิม ก่อนที่คุณอรจะเดินมาพูดคุย แล้วกรุณาเสนอเครื่องดื่มเป็นอภินันทนาการสำหรับค่ำคืนนี้เป็นพิเศษครับ (กราบขอบพระคุณเป็นอย่างมากครับ) แล้วถามว่าผมต้องการจานหลักเป็นอะไร ผมก็เลือกเป็นปลา Hallibut ที่นานๆ ผมจะได้กินสักรอบครับ

เมนูประจำค่ำคืนนี้
น้ำดื่มและเครื่องดื่มอภินันทนาการ

เมนูในค่ำคืนนี้จะกึ่งๆ ผสมผสานระหว่างเมนูมื้อเที่ยง ที่นำเสนอในรูปแบบ Picnic Lunch และมื้อค่ำ ซึ่งจะมีจานจากชุด Signature/Journey เข้ามาด้วย ซึ่งบางจานผมก็คุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะข้ามมาจากฤดูกาลที่แล้ว บางอย่างก็แทบจะเป็นของปกติที่ต้องเจอประจำ และบางจานก็เป็นของใหม่ ส่วนราคานั้นผมจ่ายไปที่ 1,639.18 บาทถ้วน (ไม่รวมค่าน้ำ) ถือว่าราคาดีอยู่ทีเดียวครับ

หลายคนอาจจะถามว่า แล้วทำแบบนี้ครัวไม่งงหรือ? ผมตอบได้แค่ว่า ที่นี่น่าจะเป็นไม่กี่ห้องอาหารที่ยืดหยุ่นสูงมากๆ เพราะผมเคยได้ยินมาว่า สามารถสั่งอาหารชุดมื้อค่ำมาทานในมื้อกลางวันได้ถ้าลูกค้าต้องการครับ ส่วนผมเองเคยเจอว่า เลือกชุดอาหารไม่เท่ากัน แต่ห้องอาหารสามารถจัดอาหารให้ “ประสาน” (sync) กับอีกท่านได้จนจบพร้อมกัน ทั้งที่คอร์สผมน้อยกว่า นับเป็นอะไรที่น่าทึ่งที่สุดครับ


Amuse Bouche

คราวนี้ลำดับการเสิร์ฟเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเริ่มจาก อะมุซบุช (Amuse bouche) ซึ่งออกมา 3 อย่างด้วยกัน ให้รับประทานจากซ้ายไปขวา ตามความหนักเบา ดังนี้ครับ

  • Oreillette ชิ้นนี้เป็นของโปรดที่สุดของผม และมาร้านนี้ผมมักจะมองหาไอเทมนี้ก่อนใครอื่น มันคือแป้งที่ด้านในอัดไส้ครีมมาแล้วก็ด้านบนเป็นพารเมซานแผ่นตกแต่งสวยงาม รอบนี้ไส้เป็นครีมมะเขือเทศและมะเขือยาวเบาๆ ไม่มันมาก เค็มกำลังพอดี ซึ่งผมก็ยังคงยืนยันคำเดิมครับว่า ถ้าคนที่ร้านผ่านมาอ่าน กรุณาทำ Oreillette ออกขายเถอะครับ อร่อยจริงๆ ผมคงได้มาซื้อกลับไปนั่งกินที่บ้านทุกเดือนจนกว่าจะพอใจ
Oreillette
  • Ricotta Cheese Tomato Tart ชิ้นนี้เป็นรีคอตตาชีสรมควัน แล้วเอาไปห่อมะเขือเทศบางๆ ก่อนวางบนแป้งทารต์ด้านล่าง อันนี้ให้ความสดชื่นและเค็มจากธรรมชาติครับ ชอบเช่นกัน
Ricotta Cheese Tomato Tart
  • Ravioli Beetroot with Blue Cheese ชิ้นนี้ไส้ในเป็นบลูชีสห่อบีทรูท เหมือนจะหนักนะครับ และเดิมเป็นแผ่นแป้ง แต่พอเปลี่ยนมาเป็น Beetroot ห่อ ทุกอย่างก็เบาขึ้นครับ กลายเป็นว่าปิดจบได้น่าสนใจกว่าเดิมด้วยซ้ำ
Ravioli Beetroot with Blue Cheese

Bread Condiments

หมดชุดแรก ร้านก็เริ่มเอาของมาวางไว้ เป็นเครื่องเคียง 4 อย่างไว้ทากับขนมปัง ประกอบไปด้วย น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์, เนยฝรั่งเศส, มันเป็ดกับหอมแดง (Duck Fat) และ ถั่วมะแคเดเมียบด (Macadamia Paste) ทั้งหมดนี้ไว้ทานกับขนมปังที่ทางร้านสั่งตรงจากร้าน Amantee โดยมีชาบัตตา ไรย์ และคินัว ผมเลือกจะขอข้ามไรย์ไปในคราวนี้ แล้วรับมาสองอย่างครับ ซึ่งก็เหมือนทุกครั้งที่มา ผมไม่ยุ่งกับเนยและน้ำมันมะกอกเลย (เพราะเดาทางได้) สิ่งที่ผมกินจนบริกรต้องมาเติมให้คือมันเป็ดและถั่วมะแคเดเมียบด (ที่แทบเหมือนเนยถั่ว) อร่อยเด็ดขาดมาก แล้วที่นี่เป็นที่เดียวที่มีเครื่องกินคู่ขนมปังแบบนี้ แถมขนมปังจาก Amantee ก็อร่อยมากครับ จนผมประทับใจสุดๆ หอมฉุย ให้ผมกินได้เรื่อยๆ จนอิ่มยังได้เลยครับ

ขนมปังจาก Amantee

รอไม่นาน Corn Velouté, Lemon Vinegar Jelly, Herb Mesclun ที่เป็นซุปเย็น ก็ถูกนำมาเสิร์ฟโดยคุณอร คราวนี้เอามาทำกันบนโต๊ะผมเลย (เดิมจะทำให้เสร็จก่อนค่อยมาริน) ผมซึ่งเห็นเมนูเลยแหย่เล่นๆ ว่า จานคุ้นเคยยังคงอยู่เลย คุณอรก็ตอบว่าคราวนี้แตกต่างตรงที่เปลี่ยนฐานจากบีทรูทและมะขาม เป็นข้าวโพดและแตงกวา ผมซึ่งคิดว่าจะเข้มข้นและหนักแบบรอบที่แล้วแต่กลับทางคนละด้านครับ คือแม้จะยังเข้มข้น แต่ความหนักนั้นไม่หนักเลย เบาขึ้นเยอะมาก แตงกวายืนพื้นก่อนที่จะมีผักอย่างอื่นมาด้วย และทำให้สดชื่นมาก เมื่อรวมกับเยลลี่เลมอนและบรรดาผักต่างๆ จานนี้ทำให้สดชื่นได้มากครับ เป็นตัวเปิดที่สวยงามมาก

ส่วนของข้าวโพด
ซุปแตงกวา
ส่วนของผักต่างๆ
ขณะกำลังเทซุปลงถ้วย

ที่ที่งที่สุดคือ จานนี้มีผักชี (ผักที่ผมไม่ชอบและเกลียดที่สุด) แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า จานนี้ทำผมกินผักชีได้สบายๆ ด้วยวิธีการผสานบางอย่างทำให้ผมสัมผัสความผักชีแบบเบาๆ ห่างไกลครับ ไม่ติดขัดกับผักชีใดๆ ทั้งสิ้น

Corn Velouté, Lemon Vinegar Jelly, Herb Mesclun

ต่อมาเมื่อเสร็จ ผมก็นั่งกินขนมปังปาดมันเป็ดรอ ก็ขึ้นชุดต่อไปที่มีสองจาน คือ Provençal Pichade by Chef Yoan และ Niçoise Salad in Thailand โดยแนะนำให้กินจานย่อยแรกก่อน จากนั้นค่อยไปสลัดครับ

Provençal Pichade by Chef Yoan และ Niçoise Salad in Thailand

จานย่อยแรก (Provençal Pichade) เป็นแป้งพิซซ่าถูกนำไปทอด แล้วเอาหัวหอมผัดไปโปะด้านหน้า ตามด้วยครีมชีสมะเขือเทศ หน้าตาคล้ายขนมปังโปะด้านบน วิธีกินจานนี้คือหยิบมากินดื้อๆ เลยครับ ส่วนรสชาติน่ะหรือ? พิซซ่าแบบเวอร์ชั่นหรูที่สุดเท่าที่จะนึกออกได้ มีทั้งความกรอบ ความเค็ม และความหอมของชีสกับมะเขือเทศ เรียกว่าอร่อยถึงตายครับสำหรับจานนี้

Provençal Pichade by Chef Yoan
Provençal Pichade by Chef Yoan

จานย่อยที่สอง (Niçoise Salad) มีเยลลีมะเขือเทศ มะเขือเทศกงฟี ถั่วพู ปลาแมคคลอเรล ไข่แดง ไข่ขาว ครีมมันฝรั่ง แองโชวี และน้ำสลัดมะกอก รวมกันอยู่ในจานเดียว (แทบจะเรียกว่า Medley แล้ว) รสชาติเน้นเค็มและสดชื่นครับ จานนี้ตัดกับจานย่อยแรก และแน่นอนว่าอร่อยมากด้วยเช่นกันครับ

Niçoise Salad in Thailand

หมดจากนี้ ก็จะขึ้นจานหลักที่เป็น Halibut à la Meunière with Suaeda maritima, salmon roe, and sea urchin emulsion ว่าง่ายๆ คือปลาฮาลิบัทกับใบชะครามและไข่ปลาแซลมอน (ที่ประโคมโหมกระหน่ำมาก) มาพร้อมซอสและเทคนิคมูนิแยร์ (ตัวซอสเป็นเนยละลายเป็นสีน้ำตาล หรือ Beurre noisette แล้วผสมกับผักชีฝรั่งหรือพาสลีย์สับละเอียดกับเลมอน ส่วนเทคนิคคือการชุปแป้งบางๆ ก่อนนำไปจี่กระทะ) มีสาคูมาประกอบด้วย แต่ที่เด็ดขาดคือซอสนี้ผสมหอยเม่นทะเลเข้าไปด้วย (ใช้เทคนิค emulsion)

จานที่มาตอนแรก
ขณะราดซอส
Halibut à la Meunière with Suaeda maritima, salmon roe, and sea urchin emulsion

ผลที่ได้คือจานที่แทบจะยกทะเลมาทั้งจาน เครื่องถึง รสถึง เค็มชัดแต่ก็มีมันมายืนพื้นเสริมก่อนปิดท้ายด้วยความสดชื่นจากใบชะครามที่มีกลิ่นอ่อนๆ ส่วนปลาก็อร่อยและสดมากเช่นกัน ผมในชอบทุกมิติครับ อร่อยจนน่าประทับใจมาก


เมื่อของคาวหมด บริกรจะมาขอเคลียร์โต๊ะ แล้วปิดท้ายด้วยของหวานที่เป็นของประจำห้องอาหาร นั่นก็คือ Michel Lorain’s signature Mille-feuille โดยผมขอข้ามชีสไป (350++ บาท) เพราะจานหลักทำผมอิ่มมากแล้ว

Michel Lorain’s signature Mille-feuille

จานนี้ผมกินมาน่าจะไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งเห็นจะได้ ดังนั้นคำรีวิวผมก็เหมือนเดิมครับ – สดชื่นด้วยสตอเบอร์รี่สด กับแป้งเพสตรี้ที่ร่วนแต่ไม่แตกกระจุยกระจาย ทำออกมาได้สมบูรณ์แบบ อีกทั้งครีมที่มีทั้งเพสตรีครีม วิปครีม บัตเตอร์ครีม ก็สมบูรณ์แบบหมด น่าจะเป็นมิลเฟยในอุดมคติที่สุดเท่าที่มีแล้ว ถ้าจะมีติดนิดเดียวคือผมกินซ้ำจนเบื่อแล้วครับ 5555 ถ้าเปลี่ยนเป็นไอศกรีมกับเพสตรี้ราสเบอร์รี่งวดรอบโน้น (อร่อยมากๆ) ผมจะดีใจมาก


ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มในชุด เป็นชาหรือกาแฟ ผมเลือกรับเป็นชาอัญชันใบเตยหอม ซึ่งหอมกรุ่นมาก และ Petit Four (ซึ่งผมชอบแซวว่าเป็น Petit Trois มากกว่าเพราะมา 3 อย่าง) คราวนี้มา 3 อย่างเช่นเคย กินคู่กันกับน้ำชา ดังนี้

ชาอัญชันใบเตยหอม
Petit Four
  • Vanilla Truffle Choux Crème ชิ้นนี้ผมชอบมาก เพราะเหมือนเอาชูครีมชิ้นเล็กๆ ไส้ครีมใส่วานิลลามา แต่มีทรัฟเฟิลนิดหน่อยคอยบิดเล่น อร่อยมากๆ ครับ ติดใจ ไม่หวานมากด้วย ทำขายรายชิ้นเมื่อไหร่บอกด้วยครับ (พูดในภาษาวัยรุ่นปัจจุบันคือ อร่อยแบบตะโกน)
  • Ginger Crème Brulee เครมบูลเลชิ้นจิ๋วที่ผสมขิง มาในทรงที่แปลกแหวกแนว อร่อยเช่นกันครับ รสชาติก็รักษาสมดุลได้ดีด้วย อันนี้ผมก็ชอบครับ ทำได้ดี
Ginger Crème Brulee
  • Chocolate Candy เป็นลูกอมคาราเมลเคลือบช็อกโกแลต ชิ้นนี้ผมชอบน้อยที่สุดน่าจะทุกอย่างในคืนนี้ เพราะเป็นอันเดียวที่หวานโดดมากๆ ครับ เพราะปกติผมไม่ค่อยชอบหวานโดด แต่ถ้าใครยังไม่เคยกิน อมตอนแรกเหมือนอมคาราเมล แต่อย่าเพิ่งเคี้ยวนะครับ รอให้ข้างในช็อกโกแลตละลายออกมาครับ ถ้าใจร้อนแบบผมก็อมแล้วจิบน้ำชาร้อนนิดๆ ตามไปครับ ละลายได้ไวขึ้น
Chocolate Candy

จากประสบการณ์ที่กิน J’AIME by Jean-Michel Lorain หลายครั้งมาก (ปีนี้ปีเดียวปาไป 4 รอบแล้ว) นี่คือหนึ่งในร้านอาหารฝรั่งเศสที่ผมชอบที่สุด เป็น Super Comfort Zone และถือเป็น Benchmark ของอาหารฝรั่งเศสที่ดีสำหรับผม (อีกร้านที่อยู่ในข่ายนี้คือ Nippon Tei) และผมยินดีจะกลับมากินซ้ำๆ เรื่อยๆ โดยไม่เบื่อครับ แม้อาหารจะไม่หวือหวา แต่ก็ไม่ต้องปีนบันไดกินครับ เป็นอะไรที่ผมชอบมากๆ ส่วนใครที่ยังไม่เคยลองอาหารมิชลิน หรือไม่เข้าใจว่าการกินอาหารแบบ Fine Dining เป็นอย่างไร ที่นี่คือโรงเรียนฝึกที่ดีที่สุดในการรู้จักอาหารประเภทนี้ (พี่ที่ผมรู้จักบอกว่าเป็น Michelin Course 101 ได้เลย)

ในส่วนของการบริการนั้น เรียกว่าแทบจะเป็นร้านที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด (จะบอกว่าตามใจแขกก็น่าจะตรงที่สุด) แม้ Marine Lorain จะไปทำตามความฝันที่เม็กซิโกแล้ว แต่ร้านยังคงปรัชญาเดิมเอาไว้ทุกอย่าง และยังคงใจดีให้คำแนะนำทุกอย่าง บริกรเป๊ะ บริการทุกอย่างถูกต้องหมดทุกอย่าง จนผมถือว่านี่เป็นร้านมาตรฐานทองคำด้านบริการที่ทุกร้านควรนำมาเป็นจุดเริ่มต้นครับ ถ้าอยากเป็น Fine Dining

โดยสรุปคือ นี่เป็นร้านมิชลินหนึ่งดาวที่คุ้มค่าที่สุดเมื่อพิจารณาในทุกๆ มิติ เหมาะทั้งมือเริ่มต้น Fine Dining หรือคนที่ต้องการอาหารเรียบๆ ง่ายๆ เรื่อยๆ แต่มาตรฐานทองคำที่สูงเป๊ะในทุกมิติครับ

เพราะนี่คือ No-nonsense French Restaurant แถวหน้าของไทยครับ

ต้นกล้วยไม้หน้าห้องอาหาร

คะแนน: 4.65 จาก 5 (ปรับคะแนนด้วยสเกลเปอร์เซ็นต์ คือ 93 จาก 100)

ทางไปจองและข้อมูลเพิ่มเติม: https://jaime-bangkok.com/

Recent articles

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

“สวัสดีค่ะคุณภัทรนันท์ ติดต่อจากแฌม นะคะ พี่อรเอง สบายดีไหมคะ” ผมรับสายระหว่างที่กำลังเดินงานหนังสือ และยอมรับว่าค่อนข้างแปลกใจที่จำผมได้จากเพียงชื่อ แต่เสียงที่ได้ยินคือเสียงที่คุ้นเคย นั่นก็คือ คุณอร ที่เป็นผู้จัดการของร้าน J’AIME by Jean-Michel Lorain นั่นเอง เป็นปกติของร้านนี้ที่จะต้องโทรมายืนยัน แต่วันที่ยืนยันนั้นเป็นวันเดิมก่อนผมจะเลื่อนไปอีกวัน เมื่อสอบถามแล้วเหมือนระบบไม่อัพเดต ผมเลยเลือกที่จะกลับไปวันเดิมที่ร้านโทรมายืนยัน (เพราะตอนแรกสุด ตารางยังมีความไม่ลงตัวอยู่เล็กน้อย) โดยคุณอรแจ้งผมว่ารอบนี้อาจจะไม่ค่อยเป็นส่วนตัวสักนิด เพราะแขกแน่นเต็มห้องอาหาร “แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่อรจัดให้นั่งที่เดิม เชื่อว่าชอบและยังเป็นไพรเวทเหมือนเดิม” สิ้นเสียงนี้ผมยิ้ม และยืนยันว่าจะไปในตอนเย็นของวันนั้นแน่นอน โดยคราวนี้ไปด้วยดีลจากเว็บรีวิวอาหารแห่งหนึ่งครับ สำหรับห้องอาหาร J’aime by Jean-Michel Lorain เป็นห้องอาหารฝรั่งเศสที่เปิดมาพร้อมกับโรงแรม U Sathorn Bangkok ตอนปี 2014 (หรือ 2557) ซึ่งเป็นโรงแรมที่สงบและเป็นส่วนตัวมากๆ อยู่ลึกในซอยงามดูพลีที่เชื่อมต่อออกไปยังทางเย็นอากาศ ซึ่งเป็นร้านฝรั่งเศสที่มีราคาดีและไม่แพงแห่งหนึ่ง จนกระทั่งเป็นห้องอาหารชุดแรกที่ได้ดาวมิชลิน (ชุดเดียวกับ...J'AIME by Jean-Michel Lorain - ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เต็มไปด้วยคุณภาพ